บทที่ 5 - ถูกขับไล่และแทนที่

เอลาร่า

แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างที่ไม่คุ้นตา ปลุกฉันให้ตื่นจากนิทราอันล้ำลึก ดวงตาของฉันกะพริบเปิดขึ้นสู่ห้องที่ไม่รู้จัก... ผ้าม่านกำมะหยี่เนื้อดี เฟอร์นิเจอร์หรูหรา และ... ชายหนุ่มรูปงามที่หลับใหลอย่างสงบอยู่ข้างกายฉัน และแล้วทุกอย่างก็ถาโถมเข้ามาในหัว

ฉันสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำเมื่อคืนก่อนพรั่งพรูเข้ามา ทำให้แก้มร้อนผ่าวด้วยความอับอายและบางสิ่งบางอย่าง... ความอบอุ่นแปลกใหม่ที่ราวกับจะเต้นเป็นจังหวะไปทั่วทั้งร่าง

ไวน์ที่ถูกวางยา ไข้สูงปานไฟของเขา การตัดสินใจของฉันที่จะอยู่ดูแลเขา

มือของฉันยกขึ้นไปแตะลำคอโดยอัตโนมัติ สัมผัสจุดที่บอบช้ำซึ่งเขาประทับตราไว้ รอยตราที่ไม่ควรจะมีอยู่... เราไม่ใช่คู่แท้กัน เทพีไม่ได้ประทานพรให้เรา แต่ในภวังค์ที่เกิดจากยา เบลซได้อ้างสิทธิ์ในตัวฉันไปแล้ว

“ฉันทำอะไรลงไป” ฉันกระซิบ พลางค่อยๆ สอดตัวออกจากผ้าปูที่นอนผ้าไหม

การลุกขึ้นยืนทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียน แต่กลับไม่ใช่อาการที่น่ารังเกียจ ฉันรู้สึก... แตกต่างไป แข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าประหลาด ราวกับมีพลังงานเหลวไหลเวียนอยู่ใต้ผิวหนัง นี่เป็นเพราะรอยตราของเขางั้นหรือ หญิงสาวไร้หนวมาป่าไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้... ไม่ควรจะรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ

กระจกแกะสลักหรูหราที่อยู่อีกฟากของห้องดึงดูดสายตาฉัน ฉันแทบจำหญิงสาวที่จ้องมองกลับมาไม่ได้ ดวงตาของฉันดูสว่างขึ้น เกือบจะเปล่งประกายเรืองรอง ผิวของฉันมีประกายจางๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และรอยตรา... ไม่มีทางซ่อนมันได้พ้น หลักฐานของค่ำคืนต้องห้ามของเราปรากฏชัดเจนตัดกับลำคอขาวซีดของฉัน

“ฉันควรจะไป” ฉันพึมพำ พลางรวบชุดราตรีที่ยืมมา เบลซยังคงหลับสนิท ยาคงจะหมดฤทธิ์แล้วในที่สุด เขาจะจำได้ไหมว่าประทับตราให้ฉัน ความคิดนั้นส่งความเจ็บแปลบอย่างไม่คาดคิดแล่นเข้ามาในอก

ฉันเหลือบมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย แม้ในยามหลับ เขาก็ยังคงรูปงาม... ผมสีเข้มสยายอยู่บนหมอน โครงหน้าที่แข็งแกร่งหลับใหลอย่างสงบ ส่วนหนึ่งในใจฉันโหยหาที่จะอยู่ เพื่อเผชิญหน้ากับผลที่จะตามมาด้วยกัน แต่ความเป็นจริงก็ซัดเข้ามาเหมือนคลื่นอันขมขื่น เขาคือลูกชายของอัลฟ่า ผู้นำฝูงในอนาคต ส่วนฉันเป็นแค่คนไร้ตัวตน... แย่ยิ่งกว่าไร้ตัวตนเสียอีกในตอนนี้ เมื่อคืนเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากไวน์ที่ถูกวางยา ไม่มากไปกว่านั้น

โถงทางเดินในวังว่างเปล่าอย่างน่าปรานีขณะที่ฉันย่องผ่านไป พลางภาวนาไม่ให้ใครเห็น ดวงอาทิตย์ยามเช้าเพิ่งจะขึ้น... บางทีฉันอาจจะกลับถึงบ้านได้ก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นว่าฉันหายไป

แต่โชคก็ไม่เข้าข้างฉันเหมือนเคย

“ไปไหนมา” เสียงของลินดาฟาดมาเหมือนแส้ ทันทีที่ฉันค่อยๆ เปิดประตูหน้าบ้านของเรา

แม่เลี้ยงของฉันยืนรออยู่แล้วในห้องโถง ยังคงสวมชุดราตรีหรูหราจากเมื่อคืน รอยคล้ำใต้ตาบอกฉันว่าเธอไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะหวังจับผิดฉันที่ย่องกลับเข้ามาแบบนี้

“ฉัน... ฉันไปช่วยคนที่ป่วยมาค่ะ” ฉันพูดตะกุกตะกัก ก็ไม่เชิงโกหกเสียทีเดียว

“ป่วยเหรอ” หล่อนเดินย่างเข้ามาหาฉัน ดวงตาหรี่ลงเป็นเส้นตรง “นั่นน่ะเหรอที่แกเรียกว่าป่วย ทั้งฝูงเขาลือกันให้แซ่ดว่าแกทำเสน่ห์ใส่ลูกชายท่านอัลฟ่าให้เต้นรำกับแกแค่คนเดียว! ขนาดพ่อของเขายังเกลี้ยกล่อมให้เขาไปเต้นรำกับคนอื่นไม่ได้เลย!”

ฉันถอยหนี แต่หล่อนก็ตามมาเหมือนนักล่าที่กำลังต้อนเหยื่อ “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ-”

มือของหล่อนพุ่งออกมา กระชากผมฉันไปข้างหลังอย่างแรง การเคลื่อนไหวนั้นเผยให้เห็นลำคอของฉัน... และรอยตราของเบลซ

ใบหน้าของลินดาซีดเผือด แล้วเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธจัดราวกับปีศาจ “นังแพศยา!”

ฝ่ามือฟาดลงมาโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ส่งฉันให้เซถลาไปชนกำแพง "แกใช้มนต์คาถาอะไร" หล่อนกรีดร้อง "นังไร้ค่า ไร้หมาป่าอย่างแกเนี่ยนะ จะมีรอยตราคู่ครองได้ มันเป็นไปไม่ได้!"

“หนูไม่ได้ใช้มนต์คาถา!” ฉันประท้วง น้ำตาเอ่อคลอจนแสบตา “เขาถูกวางยา หนูแค่พยายามจะช่วย-”

“เงียบนะ!” เสียงของหล่อนดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน เสียงฝีเท้าดังตึงตังลงมาจากบันไดขณะที่มิสตี้ปรากฏตัว ใบหน้าที่งดงามสมบูรณ์แบบของหล่อนบิดเบี้ยวด้วยความยินดีอย่างร้ายกาจ

“ตายจริง” มิสตี้พูดเสียงหวานหยดย้อยขณะก้าวลงบันไดอย่างสง่างามราวกับราชินี “คราวนี้ไปทำอะไรมาอีกล่ะ น้องสาวตัวน้อย” ดวงตาของเธอจับจ้องที่คอของฉันแล้วเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เสแสร้ง “รอยพันธะคู่? ช่าง... สิ้นคิดเสียจริง”

“แกทำให้ครอบครัวนี้ต้องอับอายขายหน้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ” ลินดาตวาด “รับรอยตรามาโดยไม่ได้รับพรจากองค์เทพีเนี่ยนะ มันคือการลบหลู่! เป็นสิ่งน่ารังเกียจ!”

ตอนนี้เพื่อนบ้านเริ่มมารวมตัวกันที่หน้าประตูบ้านของเราเพราะเสียงตะโกน ลินดาบีบแขนฉันแน่นขึ้นขณะลากฉันออกไปที่ระเบียงหน้าบ้าน ประจานฉันราวกับนักโทษที่ถูกตีตรวน

“ดูนี่สิ!” เธอประกาศกับฝูงชนที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ “ลูกเลี้ยงของฉัน... นังแพศยาที่ใช้เล่ห์กลเพื่อให้ได้รอยพันธะคู่มา! ไม่มีหมาป่า ไม่มีพร ไม่มีความละอาย!”

เสียงฮือฮาและเสียงซุบซิบแพร่กระจายไปในฝูงชนราวกับยาพิษ บางคนมองมาด้วยความรังเกียจ บางคนก็สงสาร เพื่อนๆ ของมิสตี้แอบหัวเราะคิกคักพลางกระซิบกันว่าพวกเธอรู้อยู่แล้วว่าจุดจบของฉันต้องไม่ดีแน่

“สำหรับอาชญากรรมที่ขัดต่อกฎของฝูงข้อนี้” ลินดาพูดต่อ น้ำเสียงของเธอดังก้องด้วยอำนาจในฐานะเบต้าหญิง “ข้าขอเนรเทศเจ้าออกจากครอบครัวนี้และฝูงนี้!”

คำพูดนั้นกระทบใจราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง “เนรเทศ?”

“ท่านแม่ใจดีเกินไปแล้วค่ะ” มิสตี้พูดอย่างหวานเย็น “กฎระบุว่าหมาป่าที่ยังไม่มีคู่แต่รับรอยตรามาโดยไม่ได้รับพรสมควรถูกประหาร เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของคู่แท้เอาไว้”

ฝูงชนพึมพำเห็นด้วย ฉันมองดูด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นพ่อแม่ดึงลูกสาวของตัวเองเข้าไปใกล้ ราวกับว่าความน่าอับอายของฉันอาจติดต่อกันได้ แม่คนหนึ่งกำลังเทศนาลูกสาววัยรุ่นของเธอแล้ว “เห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่ไม่เคารพเจตจำนงขององค์เทพี? ตายเสียดีกว่าถูกตีตราโดยไม่มีพร”

แต่แปลกที่น้ำตาไม่ยอมไหลออกมา ความอบอุ่นระลอกใหม่ยังคงแล่นพล่านอยู่ในเส้นเลือด ทำให้ฉันรู้สึก... เป็นอิสระอย่างน่าประหลาด ยังไงฉันก็เกลียดทุกช่วงเวลาในบ้านหลังนี้อยู่แล้ว เกลียดทุกวินาทีที่อยู่ภายใต้ความโหดร้ายของลินดาและมิสตี้ รอยบนคอของฉันอาจทำลายโอกาสที่จะมีคู่ในอนาคตไปแล้ว แต่นั่นอาจจะดีกว่าการต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล

ฉันรีบเข้าไปข้างในเพื่อเก็บข้าวของเพียงน้อยนิด แต่บทสนทนาที่ได้ยินแว่วมาทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ

“...ไม่น่าเชื่อว่าแผนจะล้มเหลว” มิสตี้กลับเข้าไปในห้องแล้วกระซิบกับลินดาอย่างหัวเสีย “แม่บอกว่าไวน์นั่นจะทำให้เขาสร้างรอยพันธะให้ฉันไม่ใช่เหรอ!”

“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาจะเอาแต่เฝ้าพะเน้าพะนอยัยนั่นทั้งคืน” ลินดาตอกกลับ “ไม่ต้องห่วง พอแกได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะเอลาร่าตัวจริง เขาก็จะไม่มีทางรู้ความแตกต่าง แล้วถึงตอนนั้นยัยนั่นก็คงตายไปนานแล้ว”

ความเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่างเมื่อความจริงปรากฏ ไวน์ที่ผสมยา... อาการที่เบลซตัวร้อนราวกับไฟ ทั้งหมดเป็นแผนของพวกเธอ เพื่อบังคับให้เขาสร้างรอยพันธะให้มิสตี้ แต่มันกลับผิดพลาดอย่างไม่เป็นท่า

“หมาป่านินจากำลังเดินทางมาแล้ว” ลินดาพูดต่อ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ “ก่อนตะวันตกดิน จะไม่มีหลักฐานใดๆ เหลืออยู่ว่าเอลาร่าตัวจริงเคยมีตัวตน และแก ลูกรักของแม่ ก็จะได้ครอบครองตำแหน่งคู่ของเบลซอย่างที่ควรจะเป็น”

“แต่แม่คะ แล้วรอยพันธะล่ะคะ? จะทำยังไงกับรอยพันธะ?” มิสตี้ถามอย่างกังวล

“ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น แม่จะจัดการไม่ให้ใครสงสัยแก” เธอยิ้ม

ฉันยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงสะอื้นไว้ พวกเธอไม่ได้แค่จะเนรเทศฉัน แต่จะฆ่าฉันด้วย ลบตัวตนของฉันให้หายไปเพื่อที่มิสตี้จะได้ขโมยตัวตน รอยพันธะ และอนาคตของฉันไป

ขณะที่ฉันย่องขึ้นบันไดไปเก็บของเท่าที่มี สมองก็ทำงานอย่างรวดเร็ว ฉันต้องหาทางเปิดโปงแผนการของพวกเธอให้ได้ ต้องเตือนเบลซ แต่ก่อนอื่น ฉันต้องรอด

รอยบนคอของฉันรู้สึกยิบๆ พลังประหลาดสายใหม่ยังคงไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง ฉันอาจจะบาดเจ็บ อกหัก และโดดเดี่ยว แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของพวกเธออีกต่อไป

ฉันแค่ต้องหาวิธีที่จะมีชีวิตรอดให้นานพอที่จะพิสูจน์เรื่องนั้น

แต่ความคิดของฉันก็ถูกขัดจังหวะด้วยเงาที่เคลื่อนผ่านหน้าต่างไป... ร่างในชุดสีเข้มกำลังเคลื่อนไหวผ่านหมู่ไม้ พวกหมาป่านินจามาถึงแล้ว

บ้าจริง เวลาหมดแล้ว ถ้าแผนของพวกมันสำเร็จ ฉันต้องตายในไม่ช้าแน่

บทก่อนหน้า
บทถัดไป